lopha
|  
 ตะกร้าสินค้า (0)

   

       ถึงแม้ว่าจะถูกจัดว่าเป็น ผู้เล่นหน้าใหม่ในวงการถ่ายภาพ แต่ถ้าเป็นในวงการอิเล็คทรอนิกส์แล้วกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นแห่งนี้ ก็แทบไม่เป็นที่สองรองใคร ดังจะเห็นได้จากการได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ ที่ห้าของโลกในแง่ของรายได้รวมในปี ค.ศ. 2008

         Sony Corporation มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Soni Kabushiki Gaisha เริ่มต้นขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองหลังจากปี ค.ศ. 1945 จากร้านซ่อมวิทยุเล็กๆ ที่ดำเนินกิจการอยู่ในซากปรักหักพังจากไฟสงครามโดย มาซารุ อิบูกะ ในเขตนิฮอนบาชิของกรุงโตเกียว ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นอิบูกะก็ได้เปิดบริษัทของตัวเองขึ้นโดยใช้ชื่อว่า Tokyo Tsushin Kogyo K.K. (Tokyo Telecommunications Engineering Corporation) ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่สร้าง Type-G ระบบเทปบันทึกเสียงตัวแรกของญี่ปุ่นขึ้นสำเร็จ

      ใน ปี ค.ศ. 1950 อิบูกะได้เดินทางท่องไปในอเมริกาและได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ “ทรานซิสเตอร์” อันเป็นผลงานของ Bell Labs ซึ่งอิบูกะมองเห็นช่องทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทันที จึงได้พูดจาหว่านล้อมให้ Bell Labs มอบสิทธิให้กับบริษัทของเขา ในขณะนั้นบริษัทอิเลคทรอนิกส์ของอเมริกาจำนวนมากต่างก็กำลังค้นคว้าวิจัย เรื่องของทรานซิสเตอร์เพื่อนำไปผลิตอุปกรณ์ทางการทหาร แต่อิบูกะสนใจที่จะนำมันไปใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารมากกว่า และถึงแม้ว่าในที่สุดแล้วบริษัทสัญชาติอเมริกันอย่าง Regency และ Texus Instruments จะสร้างวิทยุทรานซิสเตอร์ตัวแรกของโลกได้เป็นผลสำเร็จ แต่กลับเป็นบริษัทของอิบูกะที่สามารถนำมันไปใช้ในเชิงธุรกิจได้สำเร็จเป็น แห่งแรก ซึ่งวิทยุทรานซิสเตอร์ตัวแรกของอิบูกะก็คือ TR-55 ในปี ค.ศ. 1955 จากนั้นก็ตามออกมาด้วยวิทยุทรานซิสเตอร์อีกหลากหลายรุ่น พร้อมทั้งดำเนินการส่งออกไปจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลกด้วย

      ตลอด ระยะเวลาที่ Sony บุกตะลุยธุรกิจด้านภาพและเสียงนั้นก็ได้ประดิษฐ์คิดค้นผลงานใหม่ๆ ออกสู่โลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายต่อหลายครั้งที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันเป็น มาตรฐานทั่วไป แต่กรณีที่โด่งดังมากที่สุดก็คือศึกชิงมาตรฐานระบบวีดีโอสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ตามบ้านในปี ค.ศ. 1980 ระหว่างระบบ Betamax ของ Sony และ VHS ของ JVC ซึ่งผลปรากฏออกมาว่า VHS ของ JVC ชนะและได้กลายมาเป็นมาตรฐานของวีดีโอตามบ้านในเวลาต่อมา ส่วนระบบ Betamax ของ Sony นั้นถูกพัฒนาไปเป็นระบบสำหรับมืออาชีพในการผลิตรายการโทรทัศน์แทนเนื่องจาก ให้คุณภาพของภาพและเสียงที่สูงมาก

      สังเวียน ที่ 2 เพิ่งจบไปไม่นานนี้เอง เมื่อ Toshiba เปิดศึกชิงมาตรฐานระบบดิจิตอลวีดีโอแบบแผ่นระหว่าง HD-DVD ของ Toshiba และ Blu-Ray ของ Sony ซึ่งผลปรากฏว่ารอบนี้ Sony ได้รับชัยชนะไปอย่างขาดลอย ส่งผลให้ Blu-Ray ได้เข้าสู่การเป็นมาตรฐานของผู้ใช้ทั่วไปได้สำเร็จ

      ก้าว ใหญ่ๆ อีกก้าวหนึ่งของ Sony ได้เกิดขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2006 เมื่อ Sony ได้เข้าซื้อกิจการกล้องถ่ายภาพของ Konica Minolta เอาไว้ทั้งหมด ซึ่งหมายรวมถึงแบรนด์ Alpha (α) กล้อง Digital SLR ของ KonicaMinolta มาจัดการต่อไป ซึ่งในช่วงระหว่างปี 2006-2008 นั้น Sony จัดได้ว่าเป็นบริษัทที่เติบโตได้รวดเร็วที่สุดในธุรกิจกล้องถ่ายภาพด้วยส่วน แบ่ง 13% ในตลาดนี้ ส่งผลให้ Sony Alpha ขึ้นเป็นอันดับที่สามในตลาด DSLR ได้เป็นผลสำเร็จ

      กล้อง Alpha ตัวแรกจากผลงานของ Sony ที่ออกสู่ตลาดก็คือ Alpha 100 ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 2006 ตามมาด้วยกล้องที่จริงจังมากขึ้นอย่าง Alpha 700 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 จากนั้น Sony ก็ได้ทยอยปล่อยกล้อง DSLR สำหรับกุล่มผู้ใช้มือสมัครเล่นออกมาเป็นระยะๆ แต่ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2008 Sony ก็สั่นสะท้านวงการด้วยการปล่อย Alpha 900 DSLR ระดับมืออาชีพที่มีเซนเซอร์รับภาพขนาด Full Frame พร้อมความละเอียดที่สูงมากถึง 24.6 MP ลงสู่ตลาดผู้ใช้ทั่วไป ทำเอาคนในวงการโจษขานกันข้ามปีเลยทีเดียว

      Sony นั้นได้ชื่อว่าเป็นจ้าวแห่งอิเล็คทรอนิกส์อยู่แล้ว อุปกรณ์ส่วนประกอบต่างๆ ที่ใช้ในกล้องนั้นทาง Sony ก็ผลิตจำหน่ายให้กับผู้ผลิตกล้องรายอื่นๆ อยู่เป็นปกติ ดังนั้นการที่ Sony จะใช้จุดแข็งที่มีในด้านนี้เพื่อสร้างความฮือฮาให้กับกล้องและอุปกรณ์ของตน ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

      อัน ที่จริงแล้วจะมองว่า Sony เป็นผู้เล่นหน้าใหม่สุดๆ ในวงการกล้องถ่ายภาพก็ยังไม่ถนัดนัก เพราะที่จริงแล้ว Sony เคยช็อคโลกมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยการปล่อยกล้องถ่ายภาพนิ่ง Mavica ซึ่งไม่ใช้ฟิล์มออกสู่ตลาดในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1981 ซึ่งในครั้งนั้นยังเรียกว่าเป็น Electronic Still Camera (ไม่ใช่ดิจิตอล) เพราะเซนเซอร์รับภาพแบบ CCD ในกล้องนั้นจะทำงานในระบบวีดีโออนาล็อกซึ่งจะส่งสัญญาณภาพ NTSC ลงไปบันทึกเอาไว้ในสื่อบันทึกข้อมูลขนาดสองนิ้วที่เรียกว่า VF ด้วยความละเอียด 570×490 px ซึ่งจะบันทึกภาพได้ประมาณ 50 ภาพ และยังมีรุ่น “โปร” ออกมาในดีไซน์แบบ SLR โดยที่มันสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ แถมยังมีอแดปเตอร์สำหรับนำเลนส์ของ Nikon หรือ Canon มาใช้ก็ได้อีกด้วย
   
   
   ปัจจุบันนี้ Mavica เลิกผลิตไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยกล้องตระกูล Cyber-shot ในระบบดิจิตอล เริ่มด้วยรุ่น DSC-D700 ในปี ค.ศ. 1998 และตามมาด้วยกล้อง Cyber-shot อีกนับร้อยรุ่นในภายหลังจนถึงปัจจุบัน

      คำ ว่า “Sony” นั้นมีที่มาจากการหยิบเอาศัพท์ในภาษาละติน “Sonus” ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า Sonic และ Sound (ที่แปลว่า “เสียง” เพราะในช่วงแรกนั้นบริษัทดำเนินกิจการเกี่ยวกับเรื่องทางด้านเสียง) มารวมเข้ากับคำว่า “Sonny” ซึ่งเป็นศัพท์แสลงที่ชาวอเมริกันใช้เรียกเด็กผู้ชาย (เช่นเดียวกับคำว่า “ไอ้หนู” ในบ้านเรา) ซึ่งชื่อที่ใกล้เคียงกับคำที่อเมริกันคุ้นเคยเช่นนี้ย่อมต้องส่งผลดีต่อการ เรียกและทำความคุ้นเคยในจังหวะที่ต้องส่งสินค้าไปจำหน่าย ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจดจำง่ายกว่าชื่อบริษัท Tokyo Tsushin Kogyo ซึ่งอเมริกันไม่คุ้นเคยอย่างแน่นอน

      ชื่อ Sony จึงปรากฏขึ้นใน TR-55 วิทยุทรานซิสเตอร์ตัวแรกของบริษัทในปี ค.ศ. 1955 แต่ชื่อของบริษัทก็ยังคงเป็นภาษาญี่ปุ่นตามเดิม จนกระทั่งถูกเปลี่ยนเป็น Sony อย่างเป็นทางการในภายหลังเมื่อเดือน มกราคม ค.ศ. 1958 สามปีให้หลังจากที่สินค้าตัวแรกถูกส่งออกไปยังต่างแดนและก็ประสบความสำเร็จ เป็นอย่างดีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
   
      กล้องตัวต่อมาของระดับกลางที่เป็น DSLR (ซึ่งหมายความว่าโซนี่ไม่ได้หันไปเอาอกเอาใจกับ SLT เพียงอย่างเดียว) กับความละเอียด 14.2 MP ผ่านเซนเซอร์รับภาพ Exmor™ HD ชนิด CMOS พร้อมโปรเซสเซอร์อัจฉริยะ Bionz™ ที่เป็นของคู่บารมีกันมานาน กล้องตัวนี้สามารถบันทึกภาพวีดีโอขนาด 1080P และถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่องได้เร็ว 7 ภาพต่อวินาที ถ่ายภาพแบบ 3D Sweep Panorama เพื่อไปใช้งานแบบ 3 มิติกับจอ Bravia™ ได้ด้วยระบบ Live View นั้นทำงานร่วมกับระบบออโตโฟกัสแบบใหม่ “Phase Detection” ที่มีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น จอ LCD ขนาด 3 นิ้วที่ปรับเปลี่ยนองศาได้, ISO สูงสุดที่ 25,600 พร้อมระบบ Auto HDR และปุ่มควบคุมต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนหน้าตาและตำแหน่งใหม่หมดซึ่งดูดีกว่าเดิมเยอะเลย กล้องตัวต่อมาของระดับกลางที่เป็น DSLR (ซึ่งหมายความว่าโซนี่ไม่ได้หันไปเอาอกเอาใจกับ SLT เพียงอย่างเดียว) กับความละเอียด 16.2 MP ผ่านเซนเซอร์รับภาพ Exmor™ HD ชนิด CM

OS พร้อมโปรเซสเซอร์อัจฉริยะ Bionz™ ที่เป็นของคู่บารมีกันมานาน กล้องตัวนี้สามารถบันทึกภาพวีดีโอขนาด 1080P และถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่องได้เร็ว 7 ภาพต่อวินาที ถ่ายภาพแบบ 3D Sweep Panorama เพื่อไปใช้งานแบบ 3 มิติกับจอ Bravia™ ได้ด้วย ระบบ Live View นั้นทำงานร่วมกับระบบออโตโฟกัสแบบใหม่ “Phase Detecti

   on” ที่มีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น จอ LCD ขนาด 3 นิ้วที่ปรับเปลี่ยนองศาได้, ISO สูงสุดที่ 25,600 พร้อมระบบ Auto HDR และปุ่มควบคุมต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนหน้าตาและตำแหน่งใหม่หมดซึ่งดูดีกว่าเดิมเยอะเลย
   
   กลับมาเป็นกริปมือจับขนาดใหญ่เหมือนเดิมกับกล้องรุ่นเล็กตัวนี้ที่น่าจะเห็น ปัญหากันอย่างชัดเจนในรุ่นก่อนที่กริปมือจับเล็กไปหน่อย เซนเซอร์รับภาพกลับมาใช้ชนิด CCD อีกครั้งกับ Exmor™ ขนาด APS-C ความละเอียด 14.2 MP มีจอภาพแบบพับเปลี่ยนองศามาให้ใช้งานพร้อมระบบ Live View ที่มีระบบ Quick AF Live View มาให้ใช้ แต่ความละเอียดจอภาพ LCD ต่ำไปสักหน่อยที่  230,400 px ช่องมองภาพครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นเป็น 95% และมีพอร์ต HDMI รวมทั้งคุณสมบัติการ Sync กับจอ BRAVIA ของค่ายมาให้ใช้อีกด้วย

Advertising Zone    Close


Online: 1 Visits: 7,832 Today: 3 PageView/Month: 31

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...